เราเคยถามตัวเองไหมว่า การที่เราทำงานอยู่ทุกๆวันนี้เราทำเพื่อใคร ทำเพื่ออะไร สวมหน้ากาก สวมหัวโขนเข้าหากันในทุกวันนี้เราทำเพื่ออะไรกันแน่ เพื่อศักดิ์ศรี เกียรติยศ ความอยู่รอด หรือเพียงแค่เพื่อเลี้ยงปากท้องของตัวเองและครอบครัว ยกตัวอย่าง บางคนเขาสวมหัวโขนให้เพื่อเป็นขี้ข้าระดับสูงขององค์กรก็คิดว่าตัวเองใหญ่ไม่ยอมใคร อีกคนก็ถูกสวมหัวโขนเหมือนๆกันเป็นขี้ข้าระดับสูงขององค์อีกเหมือนกัน แต่อยู่คนละฝ่าย ต่างคนต่างคิดว่าตัวเองใหญ่ไม่ยอมกันมีตัวอย่างให้เห็นในองค์กรหลายๆที่ สุดท้ายแล้วเป็นขี้ข้าเขาเราต้องการอะไรกันแน่ เป็นขี้ข้าเขาแล้วมันก็เป็นแค่อาชีพ อาชีพหนึ่งที่เราต้องการแค่เลี้ยงปากท้องใช่หรือไม่
มนุษย์บ้านนอกหลายคนหลั่งไหลเข้าเมืองกรุงเพื่อทำงานหาเงิน รวมไปถึงตัวผมเองด้วย เราเคยรู้ไหมว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างขาดหายไปจากชีวิตของเรา หลายอย่างที่เราหลงลืมมันไปว่ามันคือชีวิต ไม่ใช่มนุษย์หุ่นยนต์ แต่เป็นมนุษย์ที่มีสังคม มีอารยธรรม มีวิถีชีวิต มีประเพณีวัฒนธรรม จากสังคมที่เกื้อกูลเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แบ่งปันช่วยหลือกัน ทุกวันนี้มันเริ่มหายไปมากแล้ว สมัยก่อนการลงแขกเกี่ยวข้าวมีให้เห็นเป็นเรื่องธรรมดา ญาติพี่น้อง คนในหมู่บ้านนัดหมายกันลงแขกเกี่ยวข้าว บ่อปลาในทุ่งนาที่ปลากำลังมัน พากันเอาแหไปทอดเพื่อมาทำกับข้าวกินกันตอนเที่ยง ว่าวสนูแหวกว่ายทวนลมส่งเสียงแว่วจากท้องฟ้า ลมเย็นๆหน้าหนาว คนหลายๆคนช่วยกันเกี่ยวแค่วันเดียวก็เกี่ยวเสร็จเป็นสิบๆไร่ ตอนเย็นเลี้ยงข้าวเลี้ยงปลากัน หมักสาโทไว้กินกันเอง ใครใคร่กินก็กิน ใครกินไม่ได้ก็กินอย่างอื่นไป ต่างคนต่างเมา ขอบอกขอบใจกันแล้วก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน วันใหม่ก็ไปลงแขกเกี่ยวข้าวที่ท้องทุ่งนาอีกคน วัฒนธรรมแบบนี้มันแทบจะไม่มีแล้วในสังคมปัจจุบัน เรารู้หรือไม่ว่ามันขาดหายไป
ผมเคยนั่งคิดถึงวันเวลาที่ผันผ่านไปเรื่อยๆแบบไม่มีทีท่าว่าจะหยุดรอผมแม้แต่เสี้ยววินาที การกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิดเหมือนมันจะสั้นลงเรื่อยๆ ผมกลัวเหลือเกินว่าวัฒนธรรม วิถีชีวิต ที่ตอนสมัยเด็กๆมันจะเลือนหายไปเสียก่อน ชีวิตมันเป็นของใครกันแน่เป็นทาสของระบบทุนนิยมหรือเปล่า ที่แม้กระทั่งอยากจะไปมีชีวิตเป็นของตัวเองมันชั่งยากถึงเพียงนี้ กลัวไปไม่รอดบ้าง กลัวไม่มีรายได้เพื่อใช้หนี้บ้าง ต่างๆนานา
เราจะทำอย่างไรได้บ้างที่จะปลดปล่อยตัวเองออกจากสังคมวัตถุนิยมอย่างนี้ไปได้ หลายคนทิ้งบ้านนอกเข้ามาอยู่เมืองหลวงซื้อบ้านหลังเป็นล้าน สองล้าน ผ่อนกันเข้าไปผ่อนกันชั่วลูกชั่วหลาน ถ้าชั่วชีวิตนี้ผ่อนไม่หมดก็ยกมรดกหนี้สินให้ลูกให้หลานไปผ่อนต่อไป โจน จันได กล่าวว่า " ทำไมการที่เราจะมีบ้านเพื่ออยู่อาศัยสักหลังทำไมจะต้องทำให้มันยุ่งยากถึงเพียงนี้ ก็ในเมื่อเราก็สร้างบ้านเองได้ สร้างที่อยู่อาศัยเองได้" ราคาค่างวดในการผ่อนบ้านก็ใช่ว่าจะมีแค่ค่าเช่าซื้อบ้านเท่านั้น แต่ต้องมีค่าส่วนกลางโน่นนี่เฉลี่ยก็เืดือนละเป็นพันบาท มันใช่ซะที่ไหนเล่าก็ในเืมื่อเราซื้อบ้านแล้วเรายังต้องมาเสียค่าส่วนกลางนั่นอีก มันจะต่างหรือไม่ว่าเรามาเสียค่าเช่าบ้านตัวเอง สรุปได้่ว่าการใช้ชีวิตในสังคมเมืองจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้เงิน เราต้องตรากตรำทำงานเพื่อแลกกับเงิน เพื่อที่จะส่งค่าบ้าน ส่งค่ารถ การที่เราไม่มีเงินเราก็ไม่สามารถที่จะอยู่ในสังคมเมืองได้ไม่ว่ากรณีใดๆทั้งสิ้นกระนั้นหรือ
มันก็เหลือเพียงแค่อีกทางเลือกเดียวเท่านั้นที่จะใช้ชีวิตแบบพึ่งตนเองได้ก็คือหันหลังกลับสู่ภูมิลำเนาเพื่อเริ่มต้นวิถีพอเพียง....