Social Icons

วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

พืชผักบนคอนโด

กระเพรา  มี 3 สายพันธุ์  คือ กระเพราแดง  กระเพราขาว  และกระเพราผสมระหว่างกระเพราแดงและกระเพราขาว

สรรพคุณ  สำหรับใบ
-  แก้คลื่นไส้อาเจียน เนื่องจากสมดุลธาตุในร่างกายไม่ปกติ
-  แก้ปวดท้อง  ท้องอืด ท้องเฟ้อ
- แก้ไอ
- ขับเหงื่อ
- ขับพยาธิ
- ลดไข้
- เป็นยาอายุวัฒนะ
- รักษาหูด  กลาก  เกลื้อน เชื้อรา
- ไล่ยุง  ไล่แมลงวันทอง




สำหรับกระเพราต้นนี้เพาะจากเมล็ดพันธุ์ที่ซื้อจากตลาดเป็นซอง ซองละ 20  บาท เขียนว่าเป็นกระเพราแดง  แต่พอปลูกแล้วกลับกลายเป็นกระเพราขาว(สีเขียว)





ต้นกล้าพริก

เป็นการทดลองเพื่อพิสูจน์ว่าเมล็ดพันธุ์ที่ผ่านการตัดแต่งทางพันธุกรรม หรือ พืช GMOs แล้วจะสามารถนำเมล็ดพันธุ์ที่แก่เต็มที่มาปลูกเพื่อขยายพันธุ์ต่อได้หรือไม่


แตงโม




วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556

แหนแดงสุดยอดปุ๋ยพืชสดเพื่อนาข้าว

           


                      แหนแดง    แหนแดงนับเป็นพืชน้ำที่มีประโยชน์มากในการใช้เป็นปุ๋ยพืชสด หรือปุ๋ยชีวภาพที่มีประสิทธิภาพสูงเทียบเท่ากับปุ๋ยเคมี  อีกทั้งเมื่อนำไปปลูกในนาข้าวสามารถที่ลดปริมาณวัชพืชได้  นับเป็นอีกทางเลือกที่ไม่ควรพลาดของการนำไปใช้ในเกษตรแบบพอเพียง
                           แหนแดง  มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ  Azolla spp. เป็นพืชน้ำที่ลอยอยู่บนผิวน้ำมีส่วนประกอบต่างๆ  คือ  ลำต้น ราก และใบ  รากของแหนแดงจะห้อยตามแนวดิ่งลงไปในน้ำและอาจจะฝังลงไปในดินโคลนได้  ใบของแหนแดงจะมีอยู่สองส่วนคือ ใบบนและใบล่าง  ในใบบนจะมีโพรงใบ ซึ่งในโพรงใบนี้จะมีสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินอาศัยอยู่ด้วย  และสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินนี้จะสามารถตรึงไนโตรเจนในอากาศ และจะเปลี่ยนให้เป็นสารประกอบแอมโมเนียมให้แหนแดงได้ใช้ประโยชน์ และสามารถเจริญเติบโตได้ดี  และมีส่วนทำให้แหนแดงมีองค์ประกอบของธาตุไนโตรเจนสูงทำให้แหนแดงสามารถที่จะสลายตัวได้ง่าย และปลดปล่อยธาตุไนโตรเจนและธาตุอาหารอื่่นๆ ให้กับพืชที่อยู่บริเวณใกล้เคียงนำไปใช้ประโยชน์ในการเจริญเติบโต

การใช้แหนแดงในนาข้าว
1. เตรียมแหนแดงในบ่อพัก หรือบ่อซีเมนต์
2. จะต้องรักษาระดับน้ำในนาข้าวให้ลึกประมาณ 5-10 เซนติเมตร เพราะว่าแหนแดงจะเจริญเติบโตได้ดี
3. ใช้แหนแดงประมาณ 50-100 กิโลกรัมต่อที่นา 1 ไร่ และในวันที่ใส่แหนแดงควรจะมีการใส่ปุ๋ยมูลสัตว์ เช่น มูลไก่ ที่ให้ธาตุฟอสฟอรัสในอัตราส่วน 3 ก.ก. / ไร่
4. ใส่ปุ๋ยมูลสัตว์อีกครั้งเมื่อแหนแดงอายุครบ  7-10  วัน

วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ชีวิตเรา หรือชีวิตใคร

                   เราเคยถามตัวเองไหมว่า การที่เราทำงานอยู่ทุกๆวันนี้เราทำเพื่อใคร ทำเพื่ออะไร สวมหน้ากาก สวมหัวโขนเข้าหากันในทุกวันนี้เราทำเพื่ออะไรกันแน่ เพื่อศักดิ์ศรี  เกียรติยศ  ความอยู่รอด หรือเพียงแค่เพื่อเลี้ยงปากท้องของตัวเองและครอบครัว  ยกตัวอย่าง บางคนเขาสวมหัวโขนให้เพื่อเป็นขี้ข้าระดับสูงขององค์กรก็คิดว่าตัวเองใหญ่ไม่ยอมใคร  อีกคนก็ถูกสวมหัวโขนเหมือนๆกันเป็นขี้ข้าระดับสูงขององค์อีกเหมือนกัน แต่อยู่คนละฝ่าย  ต่างคนต่างคิดว่าตัวเองใหญ่ไม่ยอมกันมีตัวอย่างให้เห็นในองค์กรหลายๆที่  สุดท้ายแล้วเป็นขี้ข้าเขาเราต้องการอะไรกันแน่  เป็นขี้ข้าเขาแล้วมันก็เป็นแค่อาชีพ อาชีพหนึ่งที่เราต้องการแค่เลี้ยงปากท้องใช่หรือไม่  



                  มนุษย์บ้านนอกหลายคนหลั่งไหลเข้าเมืองกรุงเพื่อทำงานหาเงิน  รวมไปถึงตัวผมเองด้วย เราเคยรู้ไหมว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างขาดหายไปจากชีวิตของเรา หลายอย่างที่เราหลงลืมมันไปว่ามันคือชีวิต ไม่ใช่มนุษย์หุ่นยนต์ แต่เป็นมนุษย์ที่มีสังคม มีอารยธรรม มีวิถีชีวิต มีประเพณีวัฒนธรรม  จากสังคมที่เกื้อกูลเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่  แบ่งปันช่วยหลือกัน ทุกวันนี้มันเริ่มหายไปมากแล้ว  สมัยก่อนการลงแขกเกี่ยวข้าวมีให้เห็นเป็นเรื่องธรรมดา  ญาติพี่น้อง คนในหมู่บ้านนัดหมายกันลงแขกเกี่ยวข้าว บ่อปลาในทุ่งนาที่ปลากำลังมัน พากันเอาแหไปทอดเพื่อมาทำกับข้าวกินกันตอนเที่ยง ว่าวสนูแหวกว่ายทวนลมส่งเสียงแว่วจากท้องฟ้า  ลมเย็นๆหน้าหนาว  คนหลายๆคนช่วยกันเกี่ยวแค่วันเดียวก็เกี่ยวเสร็จเป็นสิบๆไร่  ตอนเย็นเลี้ยงข้าวเลี้ยงปลากัน  หมักสาโทไว้กินกันเอง ใครใคร่กินก็กิน ใครกินไม่ได้ก็กินอย่างอื่นไป  ต่างคนต่างเมา  ขอบอกขอบใจกันแล้วก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน  วันใหม่ก็ไปลงแขกเกี่ยวข้าวที่ท้องทุ่งนาอีกคน  วัฒนธรรมแบบนี้มันแทบจะไม่มีแล้วในสังคมปัจจุบัน เรารู้หรือไม่ว่ามันขาดหายไป

                       ผมเคยนั่งคิดถึงวันเวลาที่ผันผ่านไปเรื่อยๆแบบไม่มีทีท่าว่าจะหยุดรอผมแม้แต่เสี้ยววินาที การกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิดเหมือนมันจะสั้นลงเรื่อยๆ  ผมกลัวเหลือเกินว่าวัฒนธรรม วิถีชีวิต ที่ตอนสมัยเด็กๆมันจะเลือนหายไปเสียก่อน  ชีวิตมันเป็นของใครกันแน่เป็นทาสของระบบทุนนิยมหรือเปล่า ที่แม้กระทั่งอยากจะไปมีชีวิตเป็นของตัวเองมันชั่งยากถึงเพียงนี้  กลัวไปไม่รอดบ้าง  กลัวไม่มีรายได้เพื่อใช้หนี้บ้าง  ต่างๆนานา

                        เราจะทำอย่างไรได้บ้างที่จะปลดปล่อยตัวเองออกจากสังคมวัตถุนิยมอย่างนี้ไปได้ หลายคนทิ้งบ้านนอกเข้ามาอยู่เมืองหลวงซื้อบ้านหลังเป็นล้าน สองล้าน ผ่อนกันเข้าไปผ่อนกันชั่วลูกชั่วหลาน  ถ้าชั่วชีวิตนี้ผ่อนไม่หมดก็ยกมรดกหนี้สินให้ลูกให้หลานไปผ่อนต่อไป  โจน จันได กล่าวว่า " ทำไมการที่เราจะมีบ้านเพื่ออยู่อาศัยสักหลังทำไมจะต้องทำให้มันยุ่งยากถึงเพียงนี้ ก็ในเมื่อเราก็สร้างบ้านเองได้ สร้างที่อยู่อาศัยเองได้"   ราคาค่างวดในการผ่อนบ้านก็ใช่ว่าจะมีแค่ค่าเช่าซื้อบ้านเท่านั้น แต่ต้องมีค่าส่วนกลางโน่นนี่เฉลี่ยก็เืดือนละเป็นพันบาท  มันใช่ซะที่ไหนเล่าก็ในเืมื่อเราซื้อบ้านแล้วเรายังต้องมาเสียค่าส่วนกลางนั่นอีก  มันจะต่างหรือไม่ว่าเรามาเสียค่าเช่าบ้านตัวเอง  สรุปได้่ว่าการใช้ชีวิตในสังคมเมืองจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้เงิน  เราต้องตรากตรำทำงานเพื่อแลกกับเงิน เพื่อที่จะส่งค่าบ้าน ส่งค่ารถ การที่เราไม่มีเงินเราก็ไม่สามารถที่จะอยู่ในสังคมเมืองได้ไม่ว่ากรณีใดๆทั้งสิ้นกระนั้นหรือ

                       มันก็เหลือเพียงแค่อีกทางเลือกเดียวเท่านั้นที่จะใช้ชีวิตแบบพึ่งตนเองได้ก็คือหันหลังกลับสู่ภูมิลำเนาเพื่อเริ่มต้นวิถีพอเพียง....

วันพฤหัสบดีที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ปราชญ์ผู้นำแนวคิด บนวิถีพอเพียง

โจน จันได
          "ผมเคยไปอยู่กรุงเทพฯ 7 ปี ไม่เคยกินอิ่มเลย และถามตัวเองว่าชีวิตเราทำงานให้ใคร  ผมก็เลยกลับบ้านไปเป็นชาวนา  แต่ผมก็ไม่ได้อยู่อย่างชาวบ้านเพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ปลูกผักเพื่อขาย  ยิ่งปลูกยิ่งไม่เหลืออะไรทั้งๆที่ชีวิตเป็นเรื่องง่าย แต่ไม่รู้คนส่วนใหญ่ทำให้ชีวิตซับซ้อน  จนไม่มีเวลาคิดถึงตัวเอง  คิดถึงแต่งาน งาน  หาเงินและใช้เิงิน  ทำงานหนักขนาดนี้แล้วไม่พอกิน ก็ต้องคิดแล้ว" โจน จันได กล่าว

นริศ  คำธิศรี

          แนวคิด : การประสบความสำเร็จในชีวิตไม่ต้องรวยเงินทอง เพราะการมีเงินมากๆไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เรามีความสุข ความสุขแท้จริงของชีวิตก็คือ ความมีอิสระในด้านความคิด การกระทำ  และการทำงานอย่างมีความสุข โดยมีคติประจำใจว่า "เพิ่มผลผลิตแบบคนไต้หวัน ขยันแบบคนเกาหลี สู้ไม่หนีแบบคนอิสราเอล หนักแน่นในใจแบบญี่ปุ่น ทดแทนคุณแผ่นดินเหมืิอนคนไทย

มาร์ติน  วีลเลอร์
       เขยอีสานชาวอังกฤษ


ธงไชย  คงคาลัย
               ปลดหนี้ 50 ล้านด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง  "พึ่งตนเองได้ ชนะฝรั่ง ชนะทุนนิยม ชนะคนทั้งโลก" ธงไชย  คงคาลัย เป็นบุลคลหนึ่งที่ประสบความสำเร็จจากการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง  ซึ่งเป็นบุคคลหนึ่งที่เคยเดินตามแนวเศรษฐกิจแบบทุนนิยมและมีความก้าวหน้าในหน้าที่การงานในบริษัทชั้นนำของเมืองไทย  คนเกิดความฮึกเหิมด้วยรากฐานขององค์ความรู้ประกอบกับมีชั้นเชิงทางธุรกิจแบบทุนนิยม จึงเปิดธุรกิจของตนเอง โดยลงทุนทำฟาร์มไก่  เลี้ยงปลา แต่กลับโชคร้ายธุรกิจล้มเหลวจนทำให้เป็นหนี้สินกว่า 50 ล้านบาท



                 ด้วยคำสอนของหลวงพ่อปัญญา นันทภิกขุ เตือนสติให้กลับคืนมาว่าวขึ้นสูงโดนลมโต้บ้าง..ธรรมดา” และ “ความรู้อยู่ในธรรมชาติ  ใครค้นหาเจอก่อนคนนั้นชนะ” เขามุ่งมั่นแก้ไขปัญหา โดยทบทวนความรู้จากภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ  เพื่อพลิกฟื้นชีวิตโดยยึดหลักพึ่งตนเอง  และมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้เรื่องเศรษฐกิจทฤษฎีใหม่และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง  ตามแนวพระราชดำริของในหลวง   “กำหนดราคาพืช ราคาสัตว์ได้  แก้ปัญหาดินเปรี้ยว  โดยไม่ใช้ปูนทุกชนิด พึ่งตนเอง 5 ด้าน ไม่ใช้อาหารสำเร็จรูปในการเลี้ยงสัตว์  และไม่ใช้ปุ๋ยเคมี  และยาเคมีในการทำการเกษตรเลย..




วิวัฒน์  ศัลยกำธร
เวาว์วัช  หนูทอง
บุญเลิศ  ไทยทัตกุล
พยงค์  ศรีทอง
ไกร  ชมน้อย

วันอังคารที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ทำไมเราจะใช้ชีวิตแบบพอเพียงกันไม่ได้แล้วหรืออย่างไร

                    หลายคนหลบแสงสีในเมืองกรุง  มุ่งหน้าไปเรียนรู้วิถีพอเพียงกับ พี่โจน จันได ถึง อำเภอ เชียงดาว จังหวัด เชียงใหม่  เพื่อที่จะเรียนรู้วิถีชีวิตอย่างพอเพียง หรือเพื่อที่จะทดสอบว่าตัวเองเป็นคนที่จะพอเพียงได้หรือไม่  บางคนก็ประสบความสำเร็จในการรู้จักการใช้ชีวิตพอเพียง ก็ดีไป แต่บางคนกลับล้มเหลวไม่สามารถใช้ชีวิตที่พอเพียงได้  ต้องกลับมาพึ่งปัจจัยภายนอกจากสังคมทุนนิยมเหมือนเดิมเพราะเหตุใด




                         จริงๆแล้วมนุษย์เราต้องการแค่ปัจจัย 4 คือ มีที่อยู่อาศัย อาหาร ยารักษาโรค และเครื่องนุ่งห่ม จริงหรือ หรือว่าต้องการมากกว่านั้น
                        เรามาพูดกันให้ชัดำไปเลยว่า  ถ้ามนุษย์เราไม่มีปัจจัยภายนอก  เพื่ออำนวยความสะดวกหรือเพื่อตอบสนองตามต้องการของตัวเองแล้ว  มนุษย์เราจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ดได้หรือไม่  ประการแรก ถ้ามนุษย์เราในสังคมปัจจุบันถ้าไม่มีโทรศัพท์มือถือจะดำรงชีวิตอยู่ได้หรือไม่  มนุษย์ยุคใหม่อาจจะบอกแบบไม่ต้องคิดเลยว่าอยู่ไม่ได้  ผมก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าโทรศัพท์มือถือไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์เรา  แต่จริงๆแล้วมันยังมีคนที่ไม่ใช้โทรศัพท์มือถือเลยเขาก็ดำรงชีวิตอยู่ได้  เช่นพ่อแม่เราในยุคปัจจุบัน ณ ขณะนี้ท่านก็ไม่ได้พกโทรศัพท์มือถือ ไม่มีโทรศัพท์มือถือก็ทำให้เขาดำรงชีวิตอยู่ได้

                          เราจะทำอย่างไรให้เราสามารถที่จะพึ่งตนเองได้โดยไม่ต้อง  อาศัยปัจจัยภายนอกเหล่านี้ หรืออาศัยปัจจัยภายนอกให้น้อยลง  ถ้ากลับไปอยู่ในป่าดำรงชีวิตแบบไม่ต้องใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า ไม่ต้องมีแอร์ มีพัดลม ไม่มีเครื่องซักผ้า  อยู่แบบบรรพบุรุษของเรา  มันคงเป็นไปไม่ได้แล้วจริงหรือ  หรือว่าเป็นเป็นไปได้  ถ้ากลับไปอยู่แบบนั้นคงไม่พาลมีคนหาว่าเป็นคนบ้าแน่นอน  อย่าว่าแต่จะไปอยู่ป่าเลย แค่จะกลับไปอยู่บ้านนอก  ลาออกจากงานประจำที่มีเงินเดือนเพื่อยังชีพและไปใช้ชีวิตแบบพอเพียง  ทำเกษตรผสมผสาน  คงไม่วายมีคนบอกว่า "มันบ้าไปแล้ว" เป็นแน่

                   อย่างไรก็ตามการจะใช้ชีวิตอย่างพอเพียง หรือจะใช้ชีิวิตแบบพึ่งตนเองนั้นขึ้นอยู่กับว่าเราจะสามารถตัดขาดจากสิ่งเอื้ออำนวยความสะดวกแบบไม่จำเป็นได้หรือไม่  ถ้าทำได้เราก็สามารถที่จะอยู่แบบพึ่งตนเองได้....

วันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2556

มาทำความรู้จักชีวิตที่พอเพียงกัน

               หลายคนคงเคยได้ยินกับคำว่าพออยู่ พอกิน เศรษฐกิจพอเพียง ตามแนว พระราชดำรัสของในหลวง แต่จะมีสักกี่คนที่จะเข้าใจอย่างถ่องแท้ และยึดนำไปปฏิบัติ จริงๆแล้วเศรษฐกิจพอเพียง มันไม่ได้มีความหมายพิศดารเกินการใช้ชีวิตแบบรากเง่าของมนุษย์เราเลย   จริงๆแล้วมันก็คือการใช้ชีวิตแบบปู่ ย่า ตา ยาย  ของเรานั่นเอง โดยที่เราไม่ต้องหลงไปตามกระแสของวัตถุนิยมของโลกปัจจุบัน 




               ผมเคยนั่งคิดอยู่วันละหลายรอบเกี่ยวกับการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง  อยู่แบบ ปู่ ย่า ตา ยาย ที่เคยใช้ชีวิตอยู่แต่เก่าก่อน ซึ่งถ้าผมตัดสินใจที่จะลาออกจากงาน แล้วมุ่งหน้าสู่ถิ่นฐานบ้านเกิดเพื่อจะไปใช้ชีวิตแบบรากเหง้าของตัวเองนั้น ผมจะอยู่รอดหรือไม่  ลาออกจากงานแล้วจะจะมีชีวิตที่ดีหรือไม่  จะอดตายหรือไม่ หนี้สินที่สร้างไว้แบบไม่น้อยหน้าใครจะทำอย่างไรถึงจะมีรายได้มาใช้หนี้เหล่านี้  จากบทความเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงที่ผมเคยอ่าน  บ้างก็บอกว่า  "ก็อยู่แบบพอเพียงนี่แหละถึงจะใช้หนี้หมด"   บ้างก็บอกว่า "อยู่แบบพอเพียงนี่แหละถึงจะรวย"

                แต่ก็มีหลายคนบอกว่า การที่เราจะรวยนั้นมันไม่สำคัญคัญเท่ากับความสุขที่เราได้รับจากการที่ไม่ต้องใ้ห้ใครมาชี้นิ้วสั่งงาน  ไม่ต้องมาแหกขี้ตาตื่นตอนเช้าเพราะเสียงนาฬิกาปลุก หรือเพียงเพราะเบี้ยขยันไม่กี่ร้อยบาทที่พวกนายจ้างเอามาหลอกล่อให้เรามาเข้างานตรงเวลา หรือไม่ขาดไม่ลา  ซึ่งความสุขเล็กๆน้อยๆจากเงินเดือน เงินโบนัส เบี้ยขยันหรือรางวัลทั้งหลายเหล่านี้  ทำให้เราต้องทนทำงานหน้าแดงหน้าดำตั้งแต่ต้นเืดือนจนสิ้นเดือนกระนั้นหรือ
              
              โจน จันได  ผู้ปลีกตัวออกจากสังคมเมืองแบบไม่ใยดี  กล่าวว่า  " เราต้องทำงานทั้งวัน วันละ 8 ชั่วโมงเพียงเพราะค่ากับข้าวไม่กี่มื้อกระนั้นหรือ ก็ในเมื่อเราก็มามารถที่จะทำงานแค่วันละไม่ถึง 30 นาที ในการปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ เราก็สามารถเลี้ยงครอบครัวเล็กๆได้แล้ว "

            มาร์ติน  วีลเลอร์  ฝรั่งชนชั้นกลางจากเมืองผู้ดี  หรือประเทศอังกฤษ    มาเป็นชาวนาในภาคอีสาน จังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า " คนไทยไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง เห็นชาวต่างชาติดีกว่า เห็นคุณค่าในวัตถุนิยม อะไรที่เป็นของต่างชาตินั้นดีหมดของไทยสู้ไม่ได้ ทั้งๆที่คนไทยมีอะไรดีๆกว่าฝรั่งตั้งเยอะ"

                 หัวโขนที่เขาสวมใส่ให้นั้น  บางคนก็หลงระเริงไปกับบทบาทหน้าที่ที่เขามอบหมายให้  มีลูกน้องก็คิดว่าเขาเป็นขี้ข้าตัวเอง  แต่จริงๆแล้วมันก็ขี้ข้าเหมือนกันทั้งนั้น  ภาษาฝรั่งสอนกันเข้าไป เรียนกันเข้าไป   สื่อสานกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างก็พูดกันเข้าไป  ขนาดภาษาไทยมันยังพูดกันไม่รู้เรื่อง  มาร์ติน วีลเลอร์ กล่าวว่า  "มันเป็นภาษาของพวกขี้ข้า เรียนไปเพื่อที่จะไปเป็นขี้ข้า  คนที่เขาไม่อยากเป็นขี้ข้าเขาไม่เรียนหรอก"  มันก็ใช่นะคนที่เรียนภาษาฝรั่งก็เพียงเพื่อจะไปเป็นขี้ข้าทั้งนั้น ถ้าคนที่เขาไม่อยากเป็นขี้ข้า  เขาต้องพูดภาษาของตัวเองได้อย่างเต็มภาคภูมิ 

                  การที่จะอยู่อย่างพอเพียงนั้น มันก็แค่เราหันกลับมามองตนเองว่า เราต้องการอะไรในการดำรงชีวิต มีเท่าที่จำเป็นต้องใช้  กินเท่าที่ร่างกายต้องการ ไม่ใช่เพราะกระแสนิยม หรือกลัวสังคมเขาไม่ยอมรับจึงต้องมีและต้องเป็นอย่างคนอื่น  คนไทยเรามักจะมองแต่คนต่างชาติว่าเขาดีไปซะทุกอย่าง อะไรที่เป็นแบบไทยๆหรือภูมิปัญญาแบบไทยๆ ก็หาว่าโบร่ำโบราณล้าสมัยไป จึงต้องทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้เหมือนอย่างเขาจึงจะถือว่าเป็นชาติที่พัฒนา  

                      หลักสูตรการเรียนสมัยใหม่ยิ่งเรียนก็ยิ่งโง่ สอนกันเข้าไป เรียนกันเข้าไป ในหลักสูตรไม่ได้สอนให้คนรู้จักพึ่งตนเอง สอนให้คนไปเป็นขี้ข้า ถ้าไม่เป็นขี้ข้าก็ไม่รู้จะไปทำมาหากินกันยังไง จบออกมาตกงานมีอย่างที่ไหน มีความรู้แล้วตกงานได้อย่างไร  หาเลี้ยงตัวเองไม่ได้ บ้างก็ฆ่าตัวตายเพราะเครียดหางานทำไม่ได้  ทำไมคนๆหนึ่งจบออกมาแล้วต้องทำงานได้แค่อย่างเดียวจบคอมพิวเตอร์ทำไมต้องทำงานได้แค่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์อย่างเดียวแถมต้องพ่วงประสบการณ์อีก ถ้าตำแหน่งงานไม่ว่างก็ตกงานทำมาหากินไม่ได้  ผมมานั่งนึกว่าทำไมรุ่นปู่ รุ่นย่า หรือรุ่นพ่อรุ่นแม่ของเรา จบแค่ ป. 4 ทำไมเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงลูกเลี้ยงเมียได้  ทำไมคนๆเดียวมีวิชาชีพตั้งหลายอย่าง  ทำไมทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง ทำนา เลี้ยงสัตว์ จักรสาน ทำวัสดุอุปกรณ์ไว้ใช้เอง  สร้างบ้าน รู้จักยาสมุนไพร รู้จักทำเครื่องนุ่งหุ่มไว้ใช้เอง ทำไมทำได้  แต่ทำไมคนรุ่นใหม่ถึงทำไมได้  อย่ากระนั้นเลยแค่ร้านอาหารปิด เซเว่นปิด มื้อนั้นหลายๆชีวิตในเมืองกรุงเป็นต้องอด

                     นานาทัศนะเกี่ยวกับวิถีพอเพียง  เราจะอยู่ที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นอาชีพเกษตรกรรม ไม่จำเป็นต้องไปทำเสื้อผ้าไว้ใช้เอง ไม่จำเป็นต้องสร้างบ้านไว้อยู่เอง ไม่จำเป็นต้อง ผลิตยาสมุนไพรไว้ใช้เอง กล่าวโดยรวมไม่จำเป็นต้องทำอะไรเองเสียทุกอย่าง แค่มีความสุขกับสิ่งที่ทำ ไม่สร้างความวุ่นวายเดือดร้อนให้กับใคร  ไม่ตามกระแสนิยมอยากมีอยากได้ อยากมีอยากเป็นเหมือนคนอื่นเขาซะทุกอย่างไป   ภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองมีตัวเองเป็นและเป็นสิ่งที่ถูกต้องก็เพียงพอ...




                  
 

Sample text

Sample Text

Sample Text